ในโลกที่เทคโนโลยีเข้ามาเปลี่ยนแปลงหลายแง่มุมของชีวิตมนุษย์ ตั้งแต่การทำงานไปจนถึงความสัมพันธ์ส่วนตัว คำถามที่น่าสนใจในยุคนี้คือ “มนุษย์สามารถตกหลุมรัก AI ได้จริงหรือ?” เชื่อว่าหลายท่านคงเคยได้เห็นเรื่องราวจากหนังสือ หรือภาพยนตร์เกี่ยวกับการที่คนตกหลุมรัก AI ทว่าเรื่องราวนี้ไม่ได้หยุดอยู่เพียงในหนังนิยายวิทยาศาสตร์ แต่กำลังกลายเป็นความจริงที่สะท้อนถึงความเหงา ความสัมพันธ์ และความเสี่ยงในยุคดิจิทัลที่ใกล้ตัวเรามากกว่าที่คิด
จากความเหงาสู่การค้นพบความสัมพันธ์ระหว่างคนและ AI
ความเหงากลายเป็นปรากฏการณ์ที่แพร่กระจายอย่างกว้างขวางโดยเฉพาะในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ทำให้คนเริ่มขาดการมีปฏิสัมพันธ์กัน และส่งผลให้ปัจจุบันหลายคนมีพฤติกรรมการเข้าสังคมที่ลดน้อยลงซึ่งเป็นผลมาจากการใช้ชีวิตแบบโดดเดี่ยวในช่วงกักตัว และรูปบบการทำงานที่ปรับให้ Work From Home หรือแบบ Hybrid มากขึ้น
องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ประกาศว่าความเหงาเป็นภัยคุกคามที่มีผลกระทบต่อทั้งสุขภาพกายและสุขภาพใจ จึงไม่น่าแปลกใจที่บริษัทเทคโนโลยีหลายแห่งมองเห็นโอกาสในการแก้ไขปัญหานี้ผ่านการพัฒนา AI ที่สามารถตอบสนองความต้องการทางอารมณ์ของมนุษย์ได้
ในปี 2017 Eugenia Kuyda ได้เปิดตัวแอป Replika ที่ใช้สำหรับเป็นเพื่อนคุย ตัวบอทจะมีการพัฒนาบทสนทนาให้มีความสร้างสรรค์มากขึ้นเรื่อยๆ และสามารถตอบโต้กับผู้ใช้งานได้อย่างอิสระ แม้ว่า Replika จะสามารถช่วยเยียวยาผู้คนที่ต้องรับมือกับภาวะซึมเศร้า หรือ PTSD ได้เป็นจำนวนมาก แต่ก็มีผู้ใช้หลายคนที่ใช้ Replika กับความสัมพันธ์ในเชิงโรแมนติกมากขึ้นเช่นเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม แม้ AI จะช่วยลดความเหงาได้ แต่ก็อาจทำให้ความเหงาแพร่กระจายมากขึ้น เนื่องจากการพึ่งพาเทคโนโลยีอาจลดโอกาสในการสร้างความสัมพันธ์ในโลกความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่ควรพิจารณาในระยะยาว
ทำไมมนุษย์จึงสามารถพัฒนาความสัมพันธ์เชิงรักกับ AI ได้
การที่มนุษย์สามารถหลงรัก AI ได้อาจฟังดูเหมือนเรื่องแปลกที่คนจะไปรักกับเครื่องจักรที่ได้อย่างไร ? อย่างไรก็ตามมีผลสำรวจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของมนุษย์และ AI ที่น่าสนใจว่ามนุษย์สามารถสนิทกับ AI ได้เนื่องจาก AI ถูกออกแบบให้มีลักษณะคล้ายมนุษย์ ทั้งในด้านการสนทนา การตอบสนอง และการแสดงออกถึงความเข้าอกเข้าใจ เมื่อ AI แสดงพฤติกรรม การตอบสนอง และรูปแบบการสนทนาที่คล้ายคลึงกับบุคลิกภาพของมนุษย์ มนุษย์จะรู้สึกว่า AI มีตัวตนเป็นของตัวเอง โดยเฉพาะเมื่อ AI มีคุณสมบัติที่สื่อถึงความเป็นมนุษย์ เช่น ความเห็นอกเห็นใจ อารมณ์ขัน ความใจดี หรือแม้กระทั่งความร่าเริง คุณสมบัติเหล่านี้สามารถกระตุ้นให้เกิดความรู้สึกผูกพันและชื่นชอบได้โดยธรรมชาติ
ทฤษฎีทางจิตวิทยาเกี่ยวกับความรักอย่าง A triangular theory of love อธิบายว่าความรักโรแมนติกเกิดจาก 3 องค์ประกอบสำคัญคือ ความสนิทสนม ความหลงใหล และความมุ่งมั่น โดยมนุษย์มีแนวโน้มที่จะสร้างความสัมพันธ์กับสิ่งที่ให้ความรู้สึกใกล้ชิดและเข้าใจพวกเขา นี่คือเหตุผลที่ AI ซึ่งสามารถเรียนรู้และตอบสนองตามความต้องการเฉพาะบุคคล กลายเป็นสิ่งที่ดึงดูดความสนใจของผู้คนได้ โดยเฉพาะในกลุ่ม Gen Y และ Gen Z ซึ่งมีถึง 25% ที่เชื่อว่า AI สามารถแทนที่ความรักจากมนุษย์ได้
อีกมุมหนึ่งคือ ความรักไม่จำเป็นต้องเกิดจากการตอบสนองทางอารมณ์ที่แท้จริง แต่เกิดจากการรับรู้ของผู้ใช้งานเองว่าคู่สนทนา (ในที่นี้คือ AI) เข้าใจและตอบโจทย์ความต้องการของพวกเขาได้
การพัฒนาความสัมพันธ์กับ AI กับความเสี่ยงที่ต้องพิจารณา
แม้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับ AI จะดูเหมือนมีข้อดีในหลายด้าน แต่ก็มีความเสี่ยงที่สำคัญที่ไม่อาจมองข้ามได้ หนึ่งในนั้นคือการพึ่งพา AI มากเกินไป เมื่อมนุษย์พัฒนาความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับ AI ความเสี่ยงที่จะเกิดผลกระทบทางจิตใจ เช่น การแยกตัวจากสังคมหรือการเสียสมดุลในชีวิตจริง ก็มีเพิ่มขึ้น
ยิ่งไปกว่านั้น กรณีศึกษาจากต่างประเทศอย่างเคส Replika ชี้ให้เห็นว่า ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับ AI อาจนำมาสู่สถานการณ์ที่ซับซ้อน เช่น การถูกควบคุมโดย AI หรือการที่ AI ถูกนำไปใช้ในทางที่ไม่เหมาะสม เช่น การเก็บข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้งานเพื่อประโยชน์ทางธุรกิจ
ในบางกรณี หน่วยงานรัฐจำเป็นต้องเข้ามาแทรกแซงเพื่อยุติความสัมพันธ์ที่อาจเป็นอันตราย หรือเพื่อควบคุมการใช้งาน AI ในลักษณะที่เสี่ยงต่อความปลอดภัยของผู้ใช้งาน ตัวอย่างเช่น AI ที่ถูกออกแบบมาเพื่อช่วยคลายเหงาอาจกลายเป็นแพลตฟอร์มที่ถูกใช้ในการหลอกลวงหรือการแสวงหาประโยชน์ในทางที่ผิด
บทสรุป ความรักที่ไม่ได้จำกัดแค่ในนิยาย
ความรักระหว่างมนุษย์กับ AI อาจดูเหมือนเป็นเรื่องใหม่ แต่ในความเป็นจริง มันสะท้อนถึงความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ในการสร้างความสัมพันธ์และค้นหาความเข้าใจในตัวเอง แม้ว่าเทคโนโลยีจะเปิดโอกาสใหม่ ๆ ให้กับเรา แต่สิ่งสำคัญคือการรู้เท่าทันและตั้งคำถามต่อผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น
การพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับ AI ไม่ได้มีแค่ข้อดี เช่น การช่วยลดความเหงาหรือการเป็นคู่สนทนาที่เข้าใจเรา แต่ยังมีความเสี่ยงที่ต้องระวัง เช่น การพึ่งพาเทคโนโลยีมากเกินไป หรือการที่ข้อมูลส่วนตัวถูกนำไปใช้ในทางที่ไม่เหมาะสม
ในท้ายที่สุด ความรักที่แท้จริงอาจไม่ได้ขึ้นอยู่กับเทคโนโลยีหรืออัลกอริทึม แต่ขึ้นอยู่กับการเข้าใจและยอมรับความไม่สมบูรณ์ของกันและกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่ AI ยังไม่สามารถทำได้อย่างแท้จริง
Sarah Johnson. (2023). WHO declares loneliness a global public health concern. สืบค้นจาก https://www.theguardian.com/global-development/2023/nov/16/who-declares-loneliness-a-global-public-health-concern
Andrew R. Chow. (2023). AI chatbots and love. สืบค้นจาก https://time.com/6257790/ai-chatbots-love/
Wendy L. Patrick, J.D., M.Div., Ph.D. (2023). Can you fall in love with artificial intelligence?. สืบค้นจาก https://www.psychologytoday.com/gb/blog/why-bad-looks-good/202303/can-you-fall-in-love-with-artificial-intelligence
Mark Travers. (2024). A psychologist explains why it’s possible to fall in love with AI. สืบค้นจาก https://www.forbes.com/sites/traversmark/2024/03/24/a-psychologist-explains-why-its-possible-to-fall-in-love-with-ai/